กระบวนการผลิตน้ำนม
Lactogenesis I & II น้ำนมแม่ถูกผลิตจากการทำงานของฮอร์โมน
กระบวนการผลิตน้ำนมของร่างกายจะแบ่งเป็นสามช่วง ช่วงแรก เริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์ประมาณ 16-22 สัปดาห์จนถึงวันแรกหลังคลอดร่างกายจะเริ่มผลิต Colostrum หรือหัวน้ำนมในปริมาณน้อยนิดช่วงนี้เรียกว่า Lactogenesis I หลังคลอดประมาณ 30-40 ชม. ฮอร์โมนต่างๆที่เกี่ยวข้องจะกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนมเพิ่มขึ้น คุณแม่ส่วนใหญ่จะเริ่มรู้สึกว่า นมมาแล้ว หลังจากคลอดประมาณ 50-73 ชม. (2-3 วันหลังคลอด) ช่วงที่สองนี้เรียกว่า Lactogenesis II ในสองช่วงแรกกระบวนการผลิตน้ำนมจะเกิดจากการทำงานของฮอร์โมน ไม่ว่าแม่จะให้ลูกดูดนมหรือไม่ร่างกายก็จะผลิตน้ำนมโดยอัตโนมัติตามธรรมชาติ
Lactogenesis III ถ้าไม่ให้ลูกดูด น้ำนมก็ไม่มี
ช่วงที่สามเป็นช่วงที่สำคัญมาก เพราะการผลิตน้ำนมของคุณแม่จะไม่ได้ถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนเพียงอย่างเดียวแต่น้ำนมจะถูกผลิตอย่างต่อเนื่องก็ต่อเมื่อมีการนำน้ำนมออกจากร่างกายอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะด้วยการดูดของลูก การบีบด้วยมือหรือการปั๊มด้วยเครื่อง
ดังนั้นภายในสัปดาห์แรกหลังคลอด จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ประสบความสำเร็จอย่างง่ายดายหรือยากลำบากในช่วงนี้ยิ่งคุณแม่นำน้ำนมออกจากร่างกายได้มากเท่าใด ก็จะยิ่งช่วยให้การผลิตน้ำนมได้มากขึ้นและเร็วขึ้นเท่านั้น
คุณแม่จำนวนมากได้รับความรู้ผิดๆ จากบุคลากรในโรงพยาบาลว่าในช่วงสัปดาห์แรกที่น้ำนมน้อยจะต้องเสริมนมผสมให้ลูกก่อนแล้วพอน้ำนมมาค่อยให้นมแม่ การทำเช่นนี้เป็นการแทรกแซงกลไกธรรมชาติของการผลิตน้ำนมและเป็นการซ้ำเติมให้น้ำนมแม่ยิ่งมาช้ากว่าเดิม
วิธีที่จะเร่งให้น้ำนมมาเร็วๆ คือ ต้องพยายามนำน้ำนมออกจากร่างกายให้มากที่สุด ด้วยการให้ลูกดูดอย่างถูกวิธีบ่อยๆแต่ในช่วงสองสามวันแรกนั้นลูกยังดูดยังไม่ค่อยเก่งและมักจะหลับเป็นส่วนใหญ่แม่ก็ยังอ่อนเพลียจากการคลอดการใช้มือบีบหรือเครื่องปั๊มคุณภาพดีจะช่วยให้สามารถนำน้ำนมออกจากร่างกายได้มากขึ้นกว่าการรอให้ลูกดูดอย่างเดียว
การใช้มือบีบหรือใช้เครื่องปั๊มในช่วงหลังคลอดใหม่ๆ มีข้อควรระวัง คือ ร่างกายที่ผ่านการคลอดมาใหม่ๆนั้นมักจะอ่อนเพลียและ Sensitive การบีบ หรือปั๊ม หรือแม้แต่ลูกดูด ก็จะทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บมากๆจนทำให้แม่หลายๆ คนรู้สึกว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่างเจ็บปวดและทรมานเสียจริงขอให้เข้าใจว่าความรู้สึกเจ็บปวดทรมานแบบนั้นจะคงอยู่ไม่นานและจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ไม่ว่าลูกจะดูด ใช้มือบีบ หรือใช้เครื่องปั๊ม ก็จะไม่เจ็บอีกต่อไป ทั้งนี้ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าลูกดูดถูกวิธี บีบด้วยมืออย่างถูกวิธีหรือใช้เครื่องปั๊มนมคุณภาพดี
การเปลี่ยนแปลงของกระบวนการผลิตน้ำนมในแต่ละช่วงวัยของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอด ก่อนที่คุณแม่จะเริ่มรู้สึกว่า “นมมาแล้ว” นั้น กระบวนการผลิตน้ำนมเกิดจากการทำงานของฮอร์โมนร่างกายจะผลิตน้ำนมโดยอัตโนมัติ (แต่ผลิตได้ปริมาณน้อย) ไม่ว่าจะมีการนำน้ำนมออกจากร่างกายหรือไม่ก็ตาม แต่หลังจากที่น้ำนมมาแล้ว ร่างกายจะผลิตน้ำนมอย่างต่อเนื่องต่อไปก็ต่อเมื่อมีการนำน้ำนมออกจากเต้าอย่างสม่ำเสมอ (โดยการดูด การบีบ หรือการปั๊ม) ถ้าไม่มีการนำน้ำนมออกจากเต้าอย่างสม่ำเสมอเต้านมจะหยุดการผลิตน้ำนมภายในไม่กี่วัน (ภายในระยะเวลาพอๆกับที่แม่ใช้นมผสมที่ได้รับแจกฟรีชงให้ลูกกินหมดกระป๋องแรก)
ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกถ้าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ดำเนินไปด้วยดีแม่ส่วนใหญ่จะมีน้ำนมมากเกินความต้องการของลูกสังเกตได้จากมีอาการคัดเต้านมน้ำนมไหลซึมเลอะเทอะให้ลูกดูดนมข้างหนึ่งอีกข้างก็ไหลพุ่งออกมาด้วยหรือน้ำนมไหลพุ่งก่อนที่จะถึงมื้อนมอาการเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งปกติที่จะเกิดขึ้นตลอดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ร่างกายของแม่กำลังปรับปริมาณการผลิตน้ำนมให้เข้ากับปริมาณความต้องการกินน้ำนมของลูก
หลังจาก 6 สัปดาห์ - 3 เดือนแรกผ่านไป (อาจนานกว่านี้ สำหรับบางคน)ปริมาณของฮอร์โมนโปรแล็คตินซึ่งเพิ่มสูงขึ้นในระยะแรกคลอดจะค่อยๆ ลดต่ำลงกลับสู่ระดับปกติสำหรับแม่ให้นมลูก ในช่วงนี้คุณแม่จะไม่รู้สึกว่าหน้าอกคัดตึงเหมือนช่วงแรก น้ำนมที่เคยไหลซึมก็น้อยลงหรือไม่ไหลซึมเลย ไม่รู้สึกว่าน้ำนมไหลพุ่ง ไม่รู้สึกถึงกลไกการหลั่งน้ำนม (Let-down reflex) และปริมาณน้ำนมที่ปั๊มได้อาจลดลง ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ และไม่ได้หมายความว่าร่างกายผลิตน้ำนมไม่พอแต่อย่างใด
จงจำไว้ว่า ในช่วงแรกนั้นปริมาณน้ำนมที่ผลิตจะมากเกินกว่า ความต้องการของลูก หน้าอกจึงมีการคัดตึงนมไหลซึมเลอะเทอะเมื่อร่างกายปรับตัวได้แล้วปริมาณการผลิตน้ำนมจะพอดีกับความต้องการของลูกร่างกายไม่ได้ผลิตน้ำนมส่วนเกิน แต่ไม่ใช่ผลิตน้อยลงจนไม่พออย่างที่คนส่วนใหญ่เป็นกังวลถ้าให้ลูกดูดนม และหรือบีบหรือปั๊มออกอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ให้นมผสมเพิ่มร่างกายคุณแม่ก็จะผลิตน้ำนมได้เพียงพอกับความต้องการของลูกในแต่ละวัยไปได้นานเท่าที่ต้องการ
การผลิตน้ำนมในแต่ละวันเป็นอย่างไร
จากการวิจัยพบว่าปริมาณน้ำนมจะมีมากที่สุดในช่วงเช้า (เป็นเวลาดีที่สุดสำหรับการปั๊มเพื่อทำสต็อค) และจะน้อยลงในช่วงบ่ายหรือเย็นในขณะที่ปริมาณไขมันในน้ำนมกลับมีน้อยในช่วงแรกและมีมากขึ้นในช่วงหลังของวัน
ความสามารถในการเก็บน้ำนม
อีกปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำนม ก็คือ ความสามารถในการเก็บน้ำนม ซึ่งหมายถึงปริมาณที่ในเต้านมสามารถเก็บน้ำนมที่ผลิตออกมาในแต่ละมื้อ ซึ่งแม่แต่ละคนสามารถเก็บได้ไม่เท่ากัน และแต่ละข้างของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันโดยปกติเต้านมจะผลิตน้ำนมอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาน้ำนมจะสะสมในเต้านมจนเต็มความสามารถในการเก็บน้ำนมเมื่อเต้านมเต็ม แม่จะรู้สึกคัดตึง การผลิตน้ำนมช้าจะลงหรือหยุดผลิต อย่างไรก็ตามความสามารถในการเก็บน้ำนมไม่มีผลต่อปริมาณน้ำนมที่เต้านมสามารถผลิตได้ ไม่ว่าคุณแม่จะมีความสามารถในการเก็บน้ำนมได้มากหรือน้อยก็สามารถผลิตน้ำนมได้ปริมาณมากพอสำหรับลูกของตัวเองเสมอ
*ลองเปรียบเทียบความสามารถในการเก็บน้ำนมของเต้านมกับขนาดของแก้วน้ำเราสามารถดื่มน้ำในปริมาณมากๆ ด้วยแก้วน้ำขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ก็ได้ ถ้าเราใช้แก้วขนาดเล็ก เราก็ต้องดื่มหลายแก้วกว่า ถ้าเต้านมมีความสามารถในการเก็บน้ำนมน้อยเต้านมจะเต็มเร็วคุณแม่ก็ต้องให้ลูกดูดนมออกหรือปั๊มออกบ่อยกว่าเพื่อให้ได้ปริมาณที่ลูกต้องการ
หากต้องการเพิ่มปริมาณน้ำนมต้องทำอย่างไร
ปล่อยให้นมคัดเต็มเต้า = การผลิตน้ำนมช้าลง
ลูกดูดหรือปั๊มให้เกลี้ยงเต้า = การผลิตน้ำนมเร็วขึ้น
เต้านมจะผลิตน้ำนมออกมาต่อเนื่องตลอดเวลา เต้านมที่ว่างจะผลิตน้ำนมได้เร็วกว่าเต้านมที่เต็ม ในระหว่างมื้อที่ลูกดูดหรือปั๊มออก น้ำนมที่ผลิตออกมาจะสะสมอยู่ในเต้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่ลูกดูด (หรือปั๊มออก) ครั้งสุดท้าย เมื่อน้ำนมเริ่มเต็มเต้า การผลิตน้ำนมก็จะช้าลง
ดังนั้นถ้าต้องการให้ร่างกายผลิตน้ำนมเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน สิ่งที่ต้องทำ คือ ต้องพยายามนำน้ำนมออกจากร่างกายให้เร็วขึ้นและบ่อยขึ้น ตลอดทั้งวัน เพื่อให้มีน้ำนมสะสมในเต้าในระหว่างมื้อน้อยลง โดยวิธีต่อไปนี้
1. ให้ลูกดูดบ่อยกว่าเดิม และ/หรือ เพิ่มการบีบหรือปั๊มในระหว่างมื้อที่ลูกดูด
2. พยายามทำให้น้ำนมเกลี้ยงเต้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในการดูดหรือปั๊มแต่ละครั้ง
ทำอย่างไรให้เกลี้ยงเต้า
- ต้องให้ลูกดูดอย่างถูกวิธี (ดูดอย่างมีประสิทธิภาพและได้น้ำนม)
- ใช้การนวดเต้านมและบีบหน้าอกช่วย
- ให้ลูกดูดเต้านมทั้งสองข้างในแตะละมื้อรอให้ลูกดูดข้างแรกนานจนพอใจแล้วค่อยเปลี่ยนข้าง
- บีบหรือปั๊มนมออกอีก (แต่ถ้าลูกดูดได้เกลี้ยงเต้าดีแล้ว การบีบหรือปั๊มเพิ่มในระหว่างมื้อที่ลูกดูดจะช่วยทำให้เต้าว่างมากขึ้น/บ่อยขึ้น)
หมายเหตุ: เกลี้ยงเต้าหมายถึงการระบายน้ำนมออกจากเต้าประมาณ 70-80% ของปริมาณทั้งหมดสังเกตได้จากเต้านิ่มเหลวไม่ได้หมายถึงเกลี้ยงจนไม่มีน้ำนมเหลือซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะน้ำนมถูกผลิตอยู่ตลอดเวลา
ต้องรอเวลาให้นมเต็มเต้า ก่อนจะให้ลูกดูดหรือปั๊มหรือเปล่า
คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่า เมื่อต้องให้ลูกดูดให้เกลี้ยงก็น่าจะต้องรอให้เต็มเสียก่อนซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
ในความเป็นจริงร่างกายจะผลิตน้ำนมตลอดเวลาดังนั้นเต้านมจะไม่เคยเกลี้ยงจริงๆและจากการวิจัยก็พบว่าทารกไม่ได้ดูดนมจนหมดเต้าปริมาณน้ำนมที่ทารกดูดออกไปจะขึ้นอยู่กับความหิวของทารกในแต่ละครั้งและแตกต่างกันในแต่ละมื้อ โดยทั่วไปทารกจะดูดนมออกไปได้ประมาณ 75-80 % ของปริมาณน้ำนมที่มีในเต้านม
ยิ่งเราทำให้น้ำนมในเต้าเหลือน้อยลงเท่าใด เต้านมก็จะยิ่งผลิตน้ำนมมาเติมเร็วขึ้นเท่านั้นดังนั้นการกำหนดเวลาให้ลูกดูดนมหรือปั๊มออกทุกๆ กี่ชม.เพราะต้องการรอให้นมเต็มเต้าเสียก่อนไม่ได้ช่วยให้น้ำนมผลิตได้มากขึ้นถ้ามีการเว้นช่วงห่างระหว่างมื้อนมหรือการปั๊มนานๆบ่อยครั้งจะทำให้การผลิตน้ำนมน้อยลงเรื่อยๆเพราะเมื่อน้ำนมยิ่งสะสมในเต้ามากจะยิ่งทำให้การผลิตน้ำนมช้าลง
รู้สึกว่าหน้าอกไม่คัดตึง นิ่ม เหมือนไม่มีน้ำนม น้ำนมแห้งแล้วหรือเปล่า?
หลังจากสัปดาห์แรกๆผ่านพ้นไป คุณแม่จำนวนมากรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับปริมาณน้ำนมของตนเมื่อสังเกตเห็นว่านมที่เคยปั๊มได้มีปริมาณลดลง หรือรู้สึกว่าหน้าอกนิ่ม เหลว ไม่คัดตึง หรือคัดตึงบ้างเฉพาะเวลาที่เว้นช่วงการให้ลูกดูดหรือปั๊มนานกว่าปกติ
เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกว่าหน้าอกเริ่มจะไม่คัดตึง นิ่ม เหลว เหมือนไม่มีน้ำนมเมื่อเวลาผ่านไป 6-12 สัปดาห์หลังคลอด (อาจจะนานกว่านี้ สำหรับบางคนที่มีนมเยอะมาก) ความรู้สึกว่าหน้าอกคัดตึงเต็มไปด้วยน้ำนมจะเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่ร่างกายมีระดับฮอร์โมนโปรแล็คตินสูงและยังไม่สามารถปรับตัวให้รับรู้กับปริมาณความต้องการน้ำนมของลูกได้ เมื่อร่างกายสามารถปรับปริมาณการผลิตน้ำนมเข้าที่ และฮอร์โมนโปรแล็คติดลดลงสู่ระดับปกติแล้ว จะรู้สึกว่าหน้าอกคัดน้อยลง นิ่มเหลว เหมือนไม่มีน้ำนม ไม่มีการไหลซึม ไม่รู้สึกถึง Let-down และถ้าปั๊ม ก็จะได้ปริมาณน้อยลงกว่าเดิม
อาการเหล่านี้ไม่ได้แสดงว่าร่างกายผลิตน้ำนมได้น้อยเกินไป แต่แสดงว่า ร่างกายสามารถรับรู้แล้วว่าต้องผลิตน้ำนมปริมมาณเท่าใดจึงจะพอดีกับความต้องการของทารก ร่างกายจะไม่ผลิตน้ำนมมากเกินไปอีกแล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี้อาจเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือเกิดขึ้นทันทีทันใดก็ได้ แตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่ก็มีคุณแม่จำนวนมากที่ไม่ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะอาจจะหยุดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไปก่อนหน้านี้แล้ว และบางคนก็เข้าใจผิดว่าความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เป็นสัญญาณว่านมกำลังจะแห้ง ทำให้เลิกให้นมแม่ แล้วไปให้นมผสมแทน
ทำไมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
ถึงแม้ว่าในช่วงหลังจากที่เรารู้สึกว่า “น้ำนมมาแล้ว” กระบวนการผลิตน้ำนมจะถูกควบคุมโดยการนำน้ำนมออกมาจากร่างกาย (ถ้ามีการดูดหรือปั๊มออกมาก็จะมีการผลิตน้ำนมต่อไปถ้าไม่มีการดูดหรือปั๊มออกมาก็จะผลิตช้าหรือหยุดการผลิต) แต่ในช่วงสัปดาห์แรกๆฮอร์โมนโปรแล็คตินซึ่งทำหน้าที่ในการผลิตน้ำนมในช่วงแรก (Lactogenesis I&II) จะมีระดับสูงมากทำให้ร่างกายผลิตน้ำนมมากเกินกว่าความต้องการ
การที่ร่างกายมีฮอร์โมนระดับสูงมากในช่วงสัปดาห์แรกๆก็เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าร่างกายจะผลิตน้ำนมให้ได้มากพอถ้ามีความจำเป็น เช่น ในกรณีที่มีลูกแฝดสองหรือสามแม่ก็จะสามารถผลิตน้ำนมได้พอสำหรับลูกทุกคน แต่หลังจาก 2-3 เดือนแรกผ่านไปฮอร์โมนโปรแล็คตินจะค่อยๆ ลดลงสู่ระดับปกติพร้อมๆกับที่การผลิตน้ำนมของแม่ก็จะปรับไปตามความต้องการของลูกร่างกายจะไม่ผลิตน้ำนมส่วนเกินอีกต่อไป
ถ้าน้ำนมมากไปจะทำอย่างไรดี
คุณแม่บางคนมีน้ำนมมากโดยธรรมชาติหรือบางคนอาจจะกระตุ้นมากไปจนมีน้ำนมมากเกินหากต้องการลดปริมาณน้ำนมโดยไม่ให้มีผลกระทบกับจำนวนครั้งในการดูดของลูกหรือต้องหย่านมลูกสามารถทำได้โดยการจำกัดการดูดนมของลูก ให้ดูดเพียงข้างเดียวในแต่ละมื้อ (ทิ้งระยะห่างระหว่างมื้อ 3-4 ชม. หรือนานกว่า) แล้วสลับข้างในมื้อถัดไปการทำเช่นนี้น้ำนมจะสะสมอยู่ในเต้าเต็มที่ก่อนที่จะเปลี่ยนข้าง (มีน้ำนมสะสมมากๆ—> การผลิตจะลดลง)