สิ่งที่พ่อแม่ทุกคนควรรู้เกี่ยวกับนมผสม

ในขณะที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ทราบดีว่า “การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ดีที่สุดสำหรับทารก” แต่อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กลับต่ำกว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมผสมหลายเท่า นั่นเป็นเพราะพ่อแม่เหล่านั้นไม่เคยทราบว่า
 
“นมผสมที่ใช้เลี้ยงทารกแทนนมแม่ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดไม่ดีพอสำหรับทารก” 
 
คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่านมผงดัดแปลงสำหรับทารกเป็นทางเลือกที่สองต่อจากนมแม่ แต่ที่จริงแล้วองค์การอนามัยโลกแนะนำเกี่ยวกับการให้อาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกเรียงตามลำดับดังนี้
 
1. ให้ทารกดูดนมจากอกแม่ของตนเอง
2. ให้ทารกกินนมแม่ของตนเองที่บีบหรือปั๊มออกมาโดยการป้อนป้อนด้วยวิธีอื่น
3. ให้ทารกกินนมบริจาคจากแม่คนอื่น 
4. ให้ทารกกินนมผสม
 
นมผสม เป็นทางเลือกสุดท้าย ที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ แต่ผู้ผลิตและจำหน่ายนมผสมต่างทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อโฆษณาให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่า นมผสมของบริษัทตนมีคุณสมบัติ “ใกล้เคียง” นมแม่มากที่สุด 
 
หนึ่งในกลยุทธ์ของการประชาสัมพันธ์ที่ดีที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุด ก็คือการประชาสัมพันธ์ผ่านโรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์นั่นเอง เมื่อผู้บริโภคได้รับเอกสารหรือตัวอย่างนมผสมแจกฟรีจากแพทย์หรือโรงพยาบาล ก็จะ หลงเชื่อ ว่า “นมผสมยี่ห้อนั้นๆ” ดีและเหมาะสำหรับทารกจริงๆ 
 
ข้อมูลที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้เลยก็คือ “นมผสมทุกยี่ห้อ” ไม่ว่าจะถูกหรือแพง ล้วนแต่มีองค์ประกอบที่ห่างไกลจากนมแม่มาก ยิ่งมีการวิจัยค้นคว้ามากขึ้นเท่าไหร่ ผู้ผลิตทั้งหลายก็ยิ่งต้องยอมรับความจริงว่า “เป็นไปไม่ได้เลยที่จะผลิตนมผสมให้เลียนแบบนมแม่ได้” 
 
นมผสมหรือนมผงดัดแปลงสำหรับทารกนั้นใช้คำภาษาอังกฤษว่า “formula” ซึ่งแปลว่า “สูตร” แต่ในความเป็นจริง ไม่มีผู้ผลิตนมผสมรายใดที่รู้ “สูตร” ที่แท้จริงของนมแม่ เพราะ “นมแม่” มีส่วนประกอบนับพันชนิด รวมทั้งเซลล์มีชีวิตต่างๆ ฮอร์โมนหลายชนิด เอนไซม์ที่มีฤทธิ์ทำปฏิกิริยา อิมมูโนโกลบูลิน (ภูมิคุ้มกันโรค) และสารประกอบที่มีโครงสร้างเฉพาะซึ่งไม่สามารถทำเลียนแบบในนมผสมสำหรับทารกได้ 
 
นมของแม่แต่ละคน ถูกผลิตขึ้นมาได้อย่างเหมาะสมที่สุดสำหรับลูกของตน ถ้าลูกคลอดก่อนกำหนด นมที่ถูกผลิตออกมาก็จะเหมาะสมที่สุดกับทารกที่คลอดก่อนกำหนด ภูมิคุ้มกันในนมแม่จะแปรเปลี่ยนไปตามเชื้อโรคที่อยู่ในสภาพแวดล้อมของแต่ละคน และสารอาหารในนมแม่ก็ยังแปรเปลี่ยนไปตามความต้องการในแต่ละช่วงวัยของลูกอีกด้วย 
 
ในขณะที่นมผสมแต่ละยี่ห้อ ถูกผลิตขึ้นมาตามความต้องการของผู้ผลิต เหมือนกันหมดสำหรับทารก “ทุกคน” และความจริงแล้ว ไม่เหมาะสำหรับทารกคนใดสักคน 
 
การที่ผู้ผลิตใช้ “นมวัว” หรือ “ถั่วเหลือง” เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ไม่ใช่เพราะมันมีคุณสมบัติใกล้เคียงนมแม่มากที่สุด แต่เป็นเพราะ “หาง่ายและราคาถูก” ทำให้ผู้ผลิตสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลต่างหาก 
 
นมผสมทุกยี่ห้อจะระบุวิธีใช้ว่า “ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์” ทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่า ทารกแต่ละคนจะมีความต้องการสารอาหารที่แตกต่างกันไป และแพทย์จะสามารถวิเคราะห์ความแตกต่างนี้ และเลือกนมผสมที่เหมาะสมให้กับทารกได้ แต่ในความเป็นจริง มันไม่ถูกต้องและเป็นไปไม่ได้
 
ในทางปฏิบัติ แพทย์จะ “ทดลอง” ให้นมยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งกับทารกก่อน ถ้าพบว่าทารกมีปัญหา ก็จะ “ทดลอง” ให้นมยี่ห้ออื่นหรือชนิดอื่นต่อไป พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่ทันได้ตระหนักว่า การต้องเปลี่ยนยี่ห้อหรือชนิดของนมผสมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบนมผสมที่ลูกสามารถกินได้โดยไม่มีปัญหานั้น ไม่ต่างกับการให้ลูกเป็น “หนูทดลอง” นมผสมแต่ละยี่ห้อเลย
 
การทดลองกินนมยี่ห้อต่างๆ ทำให้ทารกบางคนต้องเจ็บป่วยทรมานอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ทารกบางคนมีอาการแพ้ทันทีที่ได้รับนมผสมครั้งแรก แต่บางคนต้องใช้เวลานานกว่านั้นจึงจะแสดงอาการ ทำให้พ่อแม่ หรือบางครั้งแม้แต่แพทย์เอง ก็ไม่ทราบว่าสาเหตุของความเจ็บป่วยของทารกมาจากนมผสมที่กินอยู่ทุกวันนั่นเอง
 
ผู้ผลิตนมผสมรับรู้ถึงอันตรายเหล่านี้ดี แต่แทนที่จะแสดงคำเตือนในบนฉลากบรรจุภัณฑ์ให้ชัดเจน ผู้ผลิตกลับหลอกลวงผู้บริโภคต่อไปอีกว่า นมผสมของตนได้พัฒนาสูตรใหม่ สามารถย่อยได้ง่ายและไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ทั้งที่ยังมีทารกอีกจำนวนมากที่มีอาการแพ้และเจ็บป่วยจากการกินนมผสมสูตรใหม่นั้นเอง
 
ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาด การโฆษณาทางสื่อต่างๆ ที่ใช้ภาพเด็กหน้าตาน่ารัก ฉลาดเฉลียว และคุณแม่สมัยใหม่ที่เป็นดาราหรือบุคคลมีชื่อเสียง ทำให้พ่อแม่หลงเชื่อว่านมผสมดีและปลอดภัยไม่ต่างจากนมแม่ โดยไม่ตระหนักเลยว่า 
 
ทุกครั้งที่เปิดนมกระป๋องให้ลูกกินนั้นมีความเสี่ยงและอันตรายรออยู่เสมอ